การออมเงิน และการลงทุนมีความสำคัญไม่น้อยสำหรับมนุษย์เงินเดือน จะออมเงินไว้เพื่อไปท่องเที่ยว ซื้อสิ่งที่ต้องการ แต่งงาน หรือกระทั่งรองรับการเกษียณอายุในบั้นปลายของชีวิต ทั้งหมดล้วนต้องอาศัยวินัยในการออมเงิน และความรู้ วันนี้ทีมข่าวไทยพีบีเอสออนไลน์มีวิธีการออมเงินสำหรับคนทำงานประมาณ 2-3 ปี มาฝาก
ตั้งเป้าการออม....ออมเพื่ออะไร
"น.ส.ดุษณี เกลียวปฏินนท์" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผลิตภัณฑ์การออมและสินเชื่อมีหลักประกัน สายธุรกิจรายย่อย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) แนะนำแนวคิดการออมเงินและการลงทุนสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ว่า สำหรับนักศึกษาที่เพิ่งจบใหม่ หรือคนทำงานมาเป็นเวลาสั้นๆ 2-3 ปี กลุ่มนี้เป็นกลุ่มพิเศษ คือเป็นกลุ่มที่ปกติไม่เคยมีรายได้ มีแต่ค่าใช้จ่าย ซึ่งขอเงินจากคุณพ่อคุณแม่ พอมีรายได้อาจไม่เคยคิดเรื่องออมเงิน สิ่งที่ต้องทำ คือต้องจดก่อนว่าเรามีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง เพราะคนส่วนใหญ่จะนำรายได้ลบค่าใช้จ่าย ส่วนที่เหลือถึงจะเป็นเงินออม ดังนั้น กลุ่มนี้จึงไม่มีเงินออมแน่นอน เพราะเดิมไม่เคยมีรายได้
“อย่างแรกจึงต้องกำหนดว่ามีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง และต้องการจะออมเพื่ออะไร โดยต้องมีเป้าหมายในการออม เช่น คนอายุ 23-25 ปี ตั้งเป้าหมายว่าภายในอายุ 30-35 ปีจะมีร้านกาแฟ หรือร้านขนม และต้องใช้เงินประมาณเท่าไหร่ หรือบางคนอยากจะแต่งงาน คือต้องมีเป้าหมายในการออม คือออมเพื่ออะไร และจำนวนเงินที่ต้องการออมเท่าไหร่ และคิดว่าเรามีโอกาสไหม เพราะปกติเราไม่เคยมีรายได้ และไม่เคยออม พอรู้ว่าต้องออมเงินเดือนละ 5,000 บาท ต้องเอารายได้ลบเงินออมก่อน แล้วค่อยใช้จ่าย พอลบเงินออมเสร็จแล้ว จึงนำไปลงทุนอะไรต่อเป็นเฟสถัดไป ซึ่งแค่ตรงนี้ถือว่ายากแล้วในช่วงแรก” ผู้เชี่ยวชาญด้านการออมระบุ
ชักหน้าไม่ถึงหลังต้องประหยัด-หารายได้เพิ่ม ก่อนนำไปลงทุน
อย่างไรก็ตาม หากไม่สามารถออมที่เดือนละ 5,000 บาท ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผลิตภัณฑ์การออมและสินเชื่อมีหลักประกัน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ให้คำแนะนำ 2 ทาง คือ 1.”หารายได้เพิ่ม” ซึ่งคนที่จบใหม่ๆ อาจจะเป็นครูสอนติว หรือหางานเพิ่ม 2.”ลดค่าใช้จ่าย” เช่น บางคนทานกาแฟที่แก้วละ 120 บาท แทนที่ทานวันละ 2 แก้ว เหลือวันละแก้วเดียว หรือ 2 วันต่อแก้ว พอได้จำนวนเงินที่สามารถออมได้แล้ว จึงนำมาลงทุน โดยต้องดูว่าเราจะลงทุนระยะเวลาแค่ไหน และความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้ ซึ่งช่วงแรกควรนำไปฝากประจำที่ปลอดภาษี แต่ต้องดูว่าทำได้ไหม เพราะกฎข้อหนึ่งของการออมเงินเพื่อปลอดภาษี ซึ่งมีระยะเวลา 20-60 เดือน คือจะขาดไม่ได้ เป็นการบังคับออม เพราะถ้าหากขาดส่งฝาก จะกลายเป็นดอกเบี้ยฝากออมทรัพย์ทันที หลังจากนี้ หากมีประสบการณ์ลงทุนอะไรมาเพิ่มขึ้น จะไปลงทุนในพันธบัตรเพิ่มขึ้น หรือกองทุนพันธบัตรก็ได้ หรือบางคนอาจจะไปลงทุนในหุ้น หรือตราสารที่มีผลตอบแทนสูงที่อาจจะมีความเสี่ยงสูงก็ได้ เพราะอายุยังน้อยอยู่
ใช้แอพฯประเมินค่าใช้จ่าย-บัตรเครดิตมีให้น้อย
น.ส.ดุษณี แนะนำเทคนิคในการบริหารเงินเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งมีไอเดียหลายอันที่น่าสนใจ เช่น 1. จดผ่านแอพพลิเคชั่นเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย พอสิ้นเดือนจะรวมอัตโนมัติให้เลยว่าเราใช้ไปเท่าไหร่ 2. เวลาทำงานมา 2-3 ปี ช่วงนี้เราจะเริ่มเป็นคนที่มีเครดิตดีแล้ว จะเริ่มมีบัตรเครดิต หรือบัตรกดเงินสดเริ่มโทรศัพท์มาถามเรา เพราะว่าในปัจจุบันค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่ 15,000 บาท ซึ่งเท่ากับเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทยพอดี ซึ่งคุณกำลังเข้าวงจรสินเชื่อแล้ว มีบัตรเครดิตอย่างมากที่สุด 1 ใบพอ เพราะว่าเราไม่เคยจัดสรรเงินมาก่อน ถ้ามีมากกว่านั้น เราจำไม่ได้หรอกว่าบัตรไหนเราใช้เท่าไหร่ ซึ่งแทนที่จะได้ออมอาจจะต้องมาผ่อนหนี้บัตรเครดิตแทน
ที่สำคัญ บัตรเครดิตมีอัตราดอกเบี้ยตั้งแต่ 15-20% ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่ 0.50 - 2.50 บาท ถ้าเป็นโปรโมชั่นพิเศษ ซึ่งต่างกันประมาณ 18-19% เพราะฉะนั้น บัตรเครดิตจึงควรมีแค่ใบเดียว และพยายามจด พยายามอย่าผ่อนบัตร เพราะแม้ว่าดอกเบี้ยจะดูน้อยมาก แต่ดอกเบี้ยที่เรารับคืนมา หรือผลตอบแทนที่เกิดจากการลงทุนของเรายิ่งน้อยกว่า 3. เวลากดเงินเดือนมาใช้ กดเอทีเอ็มแค่ให้พอใช้แค่สัปดาห์ต่อสัปดาห์ เช่น อาจจะกดทุกวันอาทิตย์ วันจันทร์ หรือวันที่เราชอบเป็นพิเศษก็ได้ โดยพยายามใช้ให้พอใน 1 สัปดาห์ ซึ่ง 1 สัปดาห์เรากะจะใช้จำนวนเท่าไหร่ เราก็พยายามใช้ให้พอ และ 4. นำเศษเงินที่เหลือจากการใช้จ่ายประจำวันไปใส่ในขวดโหล ซึ่งมีตัวอย่างของนักศึกษาคนหนึ่งซึ่งเล่าว่าทุกครั้งที่ได้รับเศษสตางค์มาไม่ว่าจะเป็นเหรียญอะไรก็ตาม ทุกเย็นจะนำไปใส่ในโหลแก้วทุกวัน เดือนหนึ่งสามารถเก็บได้เป็น 1,000 บาท
ตัดค่าใช้จ่าย ทำให้เงินงอก
ที่สำคัญที่สุดคือนอกจากเรารู้ว่าเราจะออมเงินอย่างไรแล้ว เราจะตัดค่าใช้จ่าย เพิ่มรายได้อย่างไรแล้ว ซึ่งแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน ต้องทำให้เงินงอกงามด้วย พูดง่ายๆ คือให้เงินทำงานด้วย การที่จะไปออมเงินในแง่ของเงินฝากออมทรัพย์ปลอดภาษี ข้อดีคือเป็นการบังคับออมสม่ำเสมอทุกเดือน ส่วนข้อเสียคือผลตอบแทนไม่มาก เฉลี่ยอยู่ที่ 2.5-3.5% ถ้าหากยังอายุน้อย และไม่มีความจำเป็นต้องการใช้เงินเร็วๆ นี้ อยากจะใช้เงินในอีก 3-5 ปีข้างหน้า ไปออมเงินในลักษณะอื่นก็ดี เช่น ออมเงินในหุ้นกู้ ตราสารหนี้ กองทุนที่มีการทยอยออมทุกเดือนก็ได้ แต่ต้องรู้เราก่อนว่ามีความรู้ขนาดไหน โดยต้องไปศึกษาว่าที่ต้องการลงทุนตรงกับความต้องการของเราหรือไม่
ออมเงินในประกันชีวิต -ศึกษาเรื่องการลงทุน
น.ส.ดุษณี บอกอีกว่า การออมอีกประเภทที่คนไม่ค่อยนึกถึงคือประกันชีวิต ซึ่งมีทั้งแบบจ่ายรายเดือน คือทยอยนำเงินบางส่วนไปออมในประกันชีวิตด้วย แม้ว่าเราจะอายุยังน้อย แต่โอกาสความไม่แน่นอนเกิดขึ้นได้เสมอ และเวลาผ่านไป 10-20 ปีก็มีเงินเป็นล้านบาทได้
ส่วนเรื่องของการลงทุนเราต้องมีความรู้ในสินทรัพย์ที่จะลงทุน ซึ่งมีเว็บไซต์ให้อ่านมาก และตลาดหลักทรัพย์ฯมีโครงการพาไปพบปะผู้บริหาร และงานวิจัยของโบรกเกอร์ค่อนข้างดี แต่มองว่าผู้ที่จบการศึกษา และทำงานมา 2-3 ปียังไม่มีประสบการณ์การลงทุนมากนัก อย่าไปลงทุนอะไรที่เราไม่รู้ ให้เงินทำงานให้เรา อย่าให้เราทำงานให้เงิน เพราะฉะนั้น หากเรารู้สิ่งที่เราลงทุนอยู่แล้ว เช่น บางคนตอนเรียนมหาวิทยาลัยในช่วงปี 3 ปี 4 ก็เล่นหุ้นมาตลอด ก็สามารถเลือกลงทุนหุ้นได้ 100% เลย แต่ถ้าหากไม่เคยลงทุนในหุ้นต้องดูว่าเหมาะกับตัวเองหรือเปล่า
ขณะที่คนทั่วๆ ไป แนะนำการลงทุนสม่ำเสมอทุกเดือนไม่ว่าจะเป็น 1. เงินฝากปลอดภาษี คือถ้าไม่ฝากเกิน 2 เดือนจะถูกปรับเป็นออมทรัพย์ 2. ประกันแบบรายเดือน และ 3. การลงทุนทุกเดือนแบบดอลลาร์ คอสต์ เอเวอร์เรจ ของตลาดหลักทรัพย์ที่มีอยู่ หรือแม้กระทั่งกองทุนของ บลจ.หลายๆ แห่งก็มีอยู่ ลงทุนทุกเดือนๆ 3,000 บาท หรือ 5,000 บาท ซึ่งสามารถเลือกได้ไม่ว่าจะเป็นกองทุนตราสารเงิน ตราสารหนี้ หรือว่าหุ้น ตราสารหุ้น หากจะลงทุนอะไรควรศึกษาก่อน อย่าคิดว่าวันนี้โบรกเกอร์บอกว่าตลาดหุ้นจะขึ้นอีก 20% แล้วต้องขึ้นแน่นอน ซึ่งมันไม่ใช่ 100% ตลาดหุ้นขึ้น หรือหุ้นที่เขาบอกอาจจะขึ้นก็จริง แต่ขึ้นอยู่กับเราซื้อถูกตัว หรือเวลาหรือเปล่า ส่วนการลงทุนในสลากออมสิน หรือสลาก ธ.ก.ส. ถ้าจะให้น่าสนใจจริงๆ ต้องซื้อเป็นล็อต เพื่อจะได้ถูกรางวัลทุกงวด ยกเว้นเป็นคนมีดวงดี ซึ่งหากไม่ถูกรางวัล เมื่อแปลงมาเป็นอัตราดอกเบี้ยแล้วจะไม่มากในแง่ของการลงทุน
อย่าเสี่ยง ทำการบ้านดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
น.ส.ดุษณี บอกว่า อย่าเชื่อทฤษฎี “ ตอนอายุน้อยให้ลงทุนหุ้น ตอนอายุมากอย่าลงทุนหุ้น” เพราะช่วงอายุขนาดนี้เงินไม่ค่อยมี เช่น ลงทุนเดือนละ 5,000 บาท ผ่านไป 10 เดือน 50,000 บาท ปรากฏว่าพอไปลงทุนหุ้นแล้วหุ้นตก เหลือ 40,000 บาท จะรู้สึกหมดกำลังใจ เพราะว่าหายไปตั้ง 10% ซึ่งโดยทฤษฎีต้องลงทุนในหุ้น แต่จริงๆ เนื่องจากนิสัยของเรา เพิ่งเป็นเงินก้อนแรกที่หามาในช่วงแรกๆ ยังไม่มีพื้นฐาน บางคนมีเงินเก็บอยู่แล้วหลายแสน มาเสีย 5,000 บาทก็ไม่เป็นไร เพราะฉะนั้นจะไม่เหมือนกับตามทฤษฎีที่ว่าอายุน้อยให้ลงทุนในหุ้น เพราะมีระยะเวลามาก
“ควรลงทุนอะไรที่ยังไม่ค่อยเสี่ยงก่อน แล้วค่อยศึกษาเพิ่มเติม อย่างตลาดหลักทรัพย์มีโครงการให้ทดลองลงทุนด้วยเกมลงทุนหุ้นใน settrade ลองไปซื้อ และมาร์คราคา หรือลองเปิดจากหนังสือพิมพ์ เช่น ทุกเช้าวันจันทร์ หรือเย็นวันศุกร์ ลองเปิดดูหุ้นที่เราเลือกว่าเป็นอย่างไรบ้าง จะได้เข้าใจว่าเวลาเราลงทุนไป 100 บาท มีโอกาสที่จะเหลือแค่ 70 บาท กับมีโอกาสที่ขึ้น 130 บาทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งจะดูว่าเรากล้าลงทุนหรือเปล่า คำว่ากล้าหรือเปล่า บางคนอาจจะกล้า แต่ไม่มีความสามารถในการกล้า เพราะว่าเพิ่งเริ่มเก็บเงิน ลงทุนเดือนละ 5,000 บาท 10 เดือนได้ 50,000 บาท พอลงทุนไปแล้วหายไป 5,000 บาท เท่ากับหายไป 1 เดือนเลย
น.ส.ดุษณี ให้แง่คิดทิ้งท้ายในการลงทุนว่า ควรทำการบ้านหรือศึกษาข้อมูลให้รอบด้านก่อนตัดสินใจลงทุนด้านใดด้านหนึ่ง แล้ว ควรเลือกอย่างมีสติ และการลงทุนยังขึ้นอยู่กับระยะเวลา นิสัย ความสามารถของเรา ช่วงแรกอย่าไปลงทุนที่เสี่ยงมาก พอมีประสบการณ์สัก 1-2 ปี มีความสุขในการออมเงินระดับหนึ่งแล้วเราค่อยไปลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงมากขึ้นก็ได้.
มีนา บุญมี : ทีมข่าวไทยพีบีเอสออนไลน์
หน้าที่เข้าชม | 174,732 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 100,481 ครั้ง |
เปิดร้าน | 1 ก.ค. 2558 |
ร้านค้าอัพเดท | 8 ก.ย. 2568 |